แชร์ 7 วิธีเป่าผมที่ถูกต้อง ผมสวย แห้งเร็ว ไม่แห้งเสีย

วิธีเป่าผมที่ถูกต้อง ผมแห้งเร็ว มีน้ำหนัก ในสไตล์ซาลอน ทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน

การเป่าผมให้แห้งอาจส่งผลเสียต่อเส้นผมได้ โดยความร้อนจากไดร์เป่าผมเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผมแห้งเสีย ชี้ฟู ไร้น้ำหนัก และหากเป่าผมไม่ถูกวิธีก็จะทำให้โครงสร้างเส้นผมเสียหาย จนทำให้ผมขาดร่วงด้วย ซึ่งในบทความนี้ Dcash Professional จะมาแนะนำเคล็ดลับ วิธีเป่าผมที่ถูกต้อง ช่วยให้ผมแห้งเร็ว ไม่แห้งเสีย รวมถึง 9 ทริคเพิ่มเติมเพื่อให้เป่าผมได้โดยไม่ทำร้ายเส้นผมมากนัก

1.สระผมให้สะอาดและบำรุงด้วยครีมนวดผม

การสระผมให้สระอาดหมดจด 2 รอบ ถือเป็นการเตรียมพร้อมสภาพเส้นผมเบื้องต้นก่อนทำการเป่าผม และการบำรุงด้วยครีมนวดผมนั้นเป็นการเพิ่มคุณค่าการบำรุงให้แก่เส้นผม ช่วยเติมอาหารผม เพิ่มความชุ่มชื้น และปรับสภาพโครงสร้างเส้นผมให้แข็งแรง

2.ซับผมให้หมาด

ซับผมให้หมาดก่อนเป่าผมด้วยไดร์ เพราะเส้นผมที่เปียกนั้นมีโครงสร้างที่เปรอะบาง ซึ่งค่อนข้างอ่อนแอ การเป่าผมขณะผมเปียกชุ่มโดยไม่มีการซับความชื้นส่วนเกินออก จึงอาจทำให้ผมขาดร่วงได้ง่าย

3.ใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องเส้นผมจากความร้อน

ก่อนเป่าผม ควรใช้เซรั่ม ลีฟออน น้ำมันธรรมชาติบำรุงผม หรือสเปรย์ป้องกันความร้อน เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้แก่เส้นผม ไม่ให้เส้นผมหลังเป่านั้นเสียหาย จนเกิดการชี้ฟู และทำให้แห้งเสียในที่สุด นอกจากนี้ สาวๆ ที่จัดแต่งทรงผมบ่อยๆ หรือต้องเป่าผมเป็นประจำ ควรมาสก์ผมสัปดาห์ละอย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อการบำรุงสุขภาพผมที่ล้ำลึก จะช่วยให้เส้นผมเงางาม นุ่มลื่น และจัดทรงง่ายยิ่งขึ้นหลังการเป่า

4.แยกเส้นผมออกเป็นส่วนๆ

หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องเส้นผมแล้ว ให้แบ่งผมออกเป็นส่วนๆ โดยการติดกิ๊บหรือมัดผมเป็นมวยเล็กๆ เพื่อให้เป่าผมได้ง่ายยิ่งขึ้น แห้งเร็วยิ่งขึ้น และสาวๆ ที่มีเส้นผมหนา ควรแบ่งแต่ละส่วนออกเป็นชั้นๆ เป็นระดับชั้นล่างและชั้นบนด้วย เพื่อป้องกันเส้นผมเกิดการพันกันขณะเป่าผม

5.เริ่มเป่าผมโดยตั้งอุณหภูมิอุปกรณ์ให้ต่ำที่สุด

ควรเลือกใช้ไดร์เป่าผมที่สามารถตั้งค่าระดับความร้อนและความแรงของลมได้ 3 ระดับขึ้นไป ทั้งระดับสูง กลาง ต่ำ แล้วเริ่มต้นการเป่าผมด้วยการตั้งไดร์เป่าผมไว้ที่อุณหภูมิต่ำสุดและตั้งค่าลมสูงสุด เพื่อไม่ให้ร้อนจนเกินไป ช่วยให้ผมแห้งขึ้นได้โดยไม่ทำให้เส้นผมสูญเสียความชุ่มชื้นและน้ำมันตามธรรมชาติของเส้นผม จากนั้นสามารถเพิ่มค่าความร้อนเป็นระดับกลาง ระดับแรงลมเป็นปานกลางหรือต่ำก็ได้ เพื่อให้ผมแห้งเร็วขึ้น โดยค่อยไล่ๆ เป่าผมทีละส่วนตามที่แบ่งไว้จนแห้งสนิท และไม่ควรจ่อไดร์บริเวณโคนผมนานกว่า 30 วินาที

6.เป่าด้วยลมเย็นปิดท้าย

เมื่อผมเริ่มแห้งดีแล้ว ให้เลือกใช้โหมดลมเย็นเพื่อให้ผมผ่อนคลายจากการโดนความร้อนและล็อกผมให้อยู่ทรง โดยอาจใช้มือสางผมให้เป็นทรงเรียบร้อยก็ได้

7.ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมอีกครั้งหนึ่ง

ปิดท้ายขั้นตอนการเป่าผมในแบบซาลอนด้วยการทาเซรั่มบำรุงผม น้ำมัน หรือลีฟอินหลังเป่าไดร์เพื่อให้เส้นผมเงางาม มีสุขภาพดี นอกจากนี้ยังสามารถใช้สเปรย์ฉีดผมเพื่อล็อคให้ผมอยู่ทรง มีวอลุ่มสวยได้อีกด้วย

8 เคล็ดลับเพิ่มเติมในการเป่าผมแบบฉบับผู้เชี่ยวชาญ

1.ขณะซับผมให้หมาด ไม่ควรขยี้ผมแรงๆ เพราะอาจทำให้การเสียดสีที่รุนแรงนั้นอาจทำให้เส้นผมขาดร่วงได้

2.สาวๆ ที่ผมบาง ไม่ควรฉีดสเปรย์ป้องกันความร้อนบริเวณโคนผม เพราะอาจทำให้ผมลีบแบนได้

3.หลีกเลี่ยงการใช้เซรั่มบำรุงผมหรือน้ำมันบริเวณหนังศีรษะหลังเป่าผม เพื่อไม่ให้ความมันไปอุดตันรูขุมขน

4.ไม่ควรตั้งอุณหภูมิไดร์ร้อนเกินไป เพราะจำทำให้เส้นผมขาดน้ำ และโครงสร้างเส้นผมถูกความร้อนดึงเอาความชื้นออกมา

5.หลีกเลี่ยงการใช้แปรงหรือหวีที่ทำมาจากโลหะ เพราะเป็นวัสดุที่อมความร้อน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพเส้นผม แนะนำให้เลือกใช้แปรงหรือหวีที่มีซี่กว้าง เพื่อระบายความร้อน พร้อมทั้งจัดการผมพันกันได้ง่าย

6.ไม่ควรจ่อไดร์ไว้ตรงจุดใดจุดหนึ่งนานๆ เพื่อไม่ให้ความร้อนทำลายโครงสร้างเส้นผม

7.การแบ่งผมออกเป็นช่อๆ แล้วเป่า จะช่วยลดปัญหาผมพันกันและทำให้ผมแห้งสนิทดี

8ควรเริ่มเป่าผมโดยใช้ความร้อนต่ำบนเส้นผมและโคนผม ก่อนค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิขึ้นเมื่อถึงบริเวณปลายผม

9.สามารถใช้ผ้าขนหนูแห้งๆ คลุมผมแล้วใช้ไดร์เป่าลงบนผ้าขนหนูได้ โดยเป็นการป้องกันเส้นผมไม่ให้สัมผัสกับความร้อนโดยตรง เป็นการการลดความเสี่ยงที่เส้นผมจะถูกความร้อนทำลาย และยังช่วยให้ผมแห้งเร็วขึ้นด้วย เพราะความร้อนจะกระจายตัวได้ดี

เป่าผมให้แห้งทุกวันได้ไหม

การเป่าผมด้วยไดร์ให้แห้งทุกวันอาจไม่ดีต่อสุขภาพเส้นผมนักเพราะเส้นผมต้องสัมผัสกับความร้อนทำให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างเส้นผม ทำให้เส้นผมอ่อนแอ ขาดร่วงได้ง่าย นอกจากนี้ยังเป็นกำจัดน้ำมันธรรมชาติจากหนังศีรษะ และทำลายความชุ่มชื้น ซึ่งส่งผลให้เส้นผมแห้งเสีย ชี้ฟู ดูไร้ชีววิตชีวาอีกด้วย แต่ถ้าหากจำเป๋นต้องเป่าแห้งทุกวัน แนะนำว่าให้ตั้งความร้อนอุปกรณณืในระดับต่ำ และใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับป้องกันความร้อน บำรุงเส้นผมให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วย รวมถึงลดการใช้อุปกรณ์มือจัดแต่งทรงผมประเภทอื่นๆ เช่น เครื่องหนีบผม เครื่องม้วนผม เพื่อรักษาสุขภาพเส้นผมให้แข็งแรงและมีชีวิตชีวามากขึ้นในระยะยาว